1.สังสารวัฏวงจรการเวียนว่ายตายเกิด
    สังสารวัฏ หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิด คำที่มีความหมายเหมือนกันมีอีก เช่น วัฏสงสาร,สังสารทุกข์,สังสารจักร,สังสาร และ สงสาร จากความหมายนี้ทำให้เราทราบว่า ชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายไม่ได้มีเพียงชาติเดียว คนเราตายแล้วไม่สูญ แต่จะมีการเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆหากยังมีเหตุปัจจัยแห่งการเกิดอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี้ไม่สามารถกำหนดเบื้องต้นและเบื้องปลายได้ กล่าวคือ ไม่อาจบอกได้ว่า สรรพสัตว์มีการเวียนว่ายตายเกิดกันมาตั้งแต่เมื่อไรและจะสิ้นสุดลงเมื่อไร

       สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นพระพุทธองค์ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่าสงสารกำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปหนึ่ง พึงมีโครงกระดูก ร่างกระดูก กองกระดูกใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้... ภูเขาเวปุลละนั้นเป็นภูเขาที่อยู่ไม่ไกลกับภูเขาคิชฌกูฏ

     ในอัสสุสูตรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้... น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมาโดยกาลนานนี้แหละมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4... พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดา... บิดา... ของพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว...ของบุตร... ของธิดา... คร่ำครวญร้องไห้อยู่... เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจนั่นแหละมากกว่าส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 ไม่มากกว่าเลย... นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังตรัสอีกว่า ผู้ที่ไม่เคยเป็นบิดามารดา พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิง บุตรธิดา ไม่เคยเป็นสามีภรรยากัน ฯลฯ มิใช่หาได้ง่ายเลย

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็เวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ได้พลัดพรากจากบิดามารดาและบุคคลอันเป็นที่รักมามากเช่นกัน ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตในเมืองสาเกตพราหมณ์ผู้หนึ่งเห็นพระทศพลแล้ว ได้หมอบลงแทบพระยุคลบาท ยึดข้อพระบาททั้งคู่ไว้แน่นพลางกราบทูลว่า "พ่อมหาจำเริญ ธรรมดาว่าบุตร ต้องปรนนิบัติมารดาบิดาในยามแก่มิใช่หรือ" จากนั้นจึงพาพระศาสดาไป
เรือนของตน

    พระศาสดาเสด็จไปที่เรือนของพราหมณ์ ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาจัดไว้พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ฝ่ายพราหมณ์ ได้ข่าวว่าบัดนี้บุตรของเรามาแล้ว ก็มาหมอบแทบบาทยุคลของพระบรมศาสดา แล้วร่ำไห้ว่า "พ่อคุณทูนหัว พ่อไปไหนเสียนานถึงปานนี้ ธรรมดาบุตรต้องบำรุงมารดาบิดายามแก่มิใช่หรือ" แล้วบอกให้บุตรธิดาพากันมาไหว้ด้วยคำว่า "พวกเจ้าจงไหว้พี่ชายเสีย" พราหมณ์ทั้งสองผัวเมียดีใจ ได้ถวายมหาทานแก่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จแล้วก็ตรัสชราสูตรแก่พราหมณ์ทั้งสองนั้น ในเวลาจบพระสูตรทั้งสองคนก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี

      เมื่อพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์กลับมาถึงวัดแล้ว พวกภิกษุได้นั่งประชุมกันในโรงธรรม สนทนากันว่าพราหมณ์ก็รู้อยู่ว่า พระบิดาของพระตถาคตคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาคือพระนางมหามายา ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ก็ยังบอกพระตถาคตกับนางพราหมณีว่า "บุตรของเรา" ถึงพระศาสดาก็ทรงรับข้อนี้เป็นเพราะเหตุไรหนอ

      พระศาสดาตรัสอธิบายว่า "พราหมณ์ทั้งสองเรียกบุตรของตนนั่นแหละว่าบุตร เพราะว่าในอดีตกาลพราหมณ์นี้ได้เป็นบิดาของเราตลอด 500 ชาติ เป็นอาของเรา 500 ชาติ เป็นปู่ของเรา 500 ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสาย แม้นางพราหมณีนี้ ก็ได้เป็นมารดาของเรา 500 ชาติ เป็นน้า 500 ชาติเป็นย่า500 ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสายเลยดุจกัน"

       แม้นักศึกษาเองก็อาจจะเคยนึกสงสัยว่าทำไมเรารู้สึกคุ้นเคยกับคนบางคนมาก ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรก มีคู่สามีภรรยาจำนวนไม่น้อยที่พบกันครั้งแรกแล้วรู้สึกว่า "ใช่เลย" คนนี้แหละคือคู่ชีวิตของตน แม้แต่สัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยงไว้ หรือ ทีมงานที่ทำงานร่วมกันเป็นอย่างดีในองค์กรต่าง ๆ บางคนอาจจะมีความรู้สึกว่าคุ้นเคยกันมาก่อน แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่า ทำไมจึงรู้สึกอย่างนี้ จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่เราและสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วนนั่นเอง จึงทำให้เรามีความสัมพันธ์กับใครต่อใครมากมาย เมื่อได้มีโอกาสมาพบกันอีกในชาติต่อมาจึงทำให้รู้สึกว่า คุ้นเคยหรือผูกผันกันอยู่ลึก ๆ

2.หลักฐานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
     จะเชื่อได้อย่างไรว่าชีวิตมีการเวียนว่ายตายเกิดจริง หลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เชื่อได้ว่า มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ตายแล้วไม่สูญ โลกหน้ามีอยู่จริง คือ กรณีคนที่สามารถระลึกชาติหนหลังได้ ซึ่งเรื่องนี้มีตัวอย่างยืนยันทั้งในพระไตรปิฎกและในโลกยุคปัจจุบัน แม้เราจะไม่ค่อยพบเห็นกันได้ทั่วไป แต่ก็พอมีตัวอย่างให้ประหลาดใจอยู่พอสมควร ยิ่งยุคนี้เป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร เราสามารถรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที หากนักศึกษาได้ค้นคำว่า "การกลับชาติมาเกิด" ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้สามารถระลึกชาติได้ จะพบว่า มีคำนี้อยู่ 4,590,000 รายการ และในเว็บไซท์ยูทูบ (youtube) มีวิดีโอเกี่ยวกับผู้ระลึกชาติได้มากกว่า 100 เรื่อง

     เมื่อวันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2552 รายการโทรทัศน์ในเมืองไทยชื่อ "รายการตีสิบ" ได้นำเสนอตัวอย่างบุคคลในปัจจุบันที่สามารถระลึกชาติหนหลังได้คือ คุณชนัย ชูมาลัยวงษ์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2510 ที่จังหวัดพิจิตร ปัจจุบันอายุ 41 ปี เขาเล่าว่าสามารถระลึกชาติได้ตั้งแต่มีอายุได้ 3 ปี คุณชนัยบอกว่า ในชาติที่แล้วตัวเองเป็นครู มีชื่อว่า "บัวไข หล่อนาค" อนอยู่ที่โรงเรียนท่าบ่อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร มีภรรยาชื่อ "สวน" และมีลูกทั้งหมด 5 คน เป็นหญิง 3 คน ชาย 2 คน ครูบัวไขเสียชีวิตในวัย 35 ปี คือในปี พ.ศ. 2505 เนื่องจากถูกลอบยิง ขณะกำลังเดินทางไปสอนหนังสือที่โรงเรียน

     เด็กชายชนัยในวัย 3 ขวบเมื่อระลึกชาติได้ จึงพยายามรบเร้ายายของตนให้พาเขากลับไปหาครอบครัวเดิม เนื่องจากคิดถึงภรรยาและลูก แต่ผู้เป็นยายไม่ได้สนใจนัก จนเด็กชายชนัยตัดสินใจหนียายออกไปตามหาอดีตของตนด้วยตัวเอง คือเดินทางไปหาครอบครัวของนางสวนนั่นเอง เขาสามารถเดินทางไปได้อย่างถูกต้องทั้ง ๆ ที่ในชาตินี้ไม่เคยไปที่นั่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

     เมื่อเด็กชายชนัยไปถึง ครอบครัวหล่อนาคก็ต้องตกตะลึง เพราะชนัยในวัย 3 ขวบทักทายทุกคนอย่างคุ้นเคย จนสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน ๆ อดแปลกใจกับเรื่องเหลือเชื่อนี้ไม่ได้ พร้อม ๆ กับอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พ่อแม่ของครูบัวไข รวมทั้งนางสวนและลูก ๆ จึงทดสอบชนัย ด้วยการถามคำถามต่าง ๆ ที่มีแต่ครูบัวไขและครอบครัวเท่านั้นที่รู้ ซึ่งชนัยกลับสามารถตอบได้ถูกต้องทั้งหมดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และรู้ว่าสิ่งของใดเป็นของครูบัวไข รู้ว่าลูกสาวชอบทานอะไร หรือรู้แม้กระทั่งว่าครูบัวไขเก็บของอะไรไว้ที่ไหน จนครอบครัวหล่อนาคเชื่อเรื่องราวที่ชนัยเล่า และยอมรับอย่างสนิทใจว่า ชนัยคือครูบัวไขของพวกเขาในชาติที่แล้วจริง ๆ

     จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่สำคัญที่ทำให้เชื่อได้ว่า ตายแล้วไม่สูญ โลกหน้ามีจริงซึ่งโลกหน้าอาจจะเป็นการได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง หรือไปเกิดยังภพภูมิอื่น ๆ ได้แก่ นรกหรือสวรรค์ เป็นต้นทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุญและบาปที่ทำเอาไว้เป็นสำคัญ

 

ที่มา:https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=12993

 

วัดท่าม่วง เลขที่ 56 หมู่ 9 ตำบลคู้ยายหมี อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา 24160